ข่าวสอวช. เผยผลสำรวจระบบนิเวศสตาร์ทอัพไทย - kachon.com

สอวช. เผยผลสำรวจระบบนิเวศสตาร์ทอัพไทย
ไอที

photodune-2043745-college-student-s
 วันนี้ (29 พ.ค.62)ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมกับ สมาคมการค้าเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่ (Thailand Tech Startup Association – TTSA) เปิดเผยผลสำรวจระบบนิเวศวิสาหกิจเริ่มต้นประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2561  (STARTUP ECOSYSTEM SURVEY: THAILAND 2018)

ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์   ผู้อำนวยการ สอวช. เปิดเผยถึงผลสำรวจระบบนิเวศวิสาหกิจเริ่มต้นประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2561 ว่า การศึกษาสถานภาพการพัฒนาวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) เป็นความร่วมมือระหว่าง สอวช. กับ สมาคมการค้าเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่ ภายใต้โครงการพัฒนาระบบนิเวศน์วิสาหกิจเริ่มต้น (Startup Ecosystem) โดยตระหนักว่าธุรกิจสตาร์ทอัพ (startups) มีความสำคัญในฐานะกิจการที่มุ่งเน้นการใช้ประโยชน์และสร้างมูลค่าจากผลผลิตทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) เพื่อสร้างการเติบโตของกิจการและก่อให้เกิดคุณค่าใหม่ ๆ ในระบบเศรษฐกิจ  โดยอาจกล่าวได้ว่าหาก “ระบบนิเวศ” ที่รองรับการเกิด และดำเนินการของสตาร์ทอัพต่าง ๆ มีความเข้มแข็งและมีศักยภาพ ก็จะเกิดเป็นระบบของความเชื่อมโยงที่ประสานมิติของการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ และมิติของการประกอบการเชิงพาณิชย์เข้าด้วยกัน
 แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยลักษณะพื้นฐานของกิจการสตาร์ทอัพซึ่งมีความไม่แน่นอน และความเสี่ยงในการประกอบการที่สูงกว่ากิจการอื่น ๆ ทั่วไป และมักไม่มีรูปแบบธุรกิจที่ตายตัว จึงเป็นข้อห่วงใยร่วมกันสำหรับทั้งผู้ประกอบการ และผู้วางแผนนโยบายว่า โครงสร้างพื้นฐาน นโยบาย โครงสร้างกฎระเบียบและกฎเกณฑ์ ตลอดจนบรรยากาศในระบบนิเวศของสตาร์ทอัพ และปัจจัยสนับสนุนต่าง ๆ ในระบบนั้น ควรมีความเอื้ออำนวย (facilitate) ให้ผู้ประกอบการทั้งที่มีอยู่แล้ว และผู้ประกอบการหน้าใหม่ ตลอดจนผู้ที่สนใจในการเริ่มต้นกิจการสตาร์ทอัพใหม่ ๆ ในอนาคต (potential founders) สามารถที่จะเกิดขึ้นและเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง 
ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการทำการสำรวจระบบนิเวศวิสาหกิจเริ่มต้นประเทศไทยเหล่านี้ จะก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งในแง่ของการพิจารณานโยบาย และแนวทางการสนับสนุนต่าง ๆ รวมถึงการทราบสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและธุรกิจ และสามารถเป็นแนวทางในการส่งเสริมจุดแข็ง และแก้ไขปัญหา หรือจุดอ่อนที่พบผ่านการประเมินและพิจารณาจัดทำนโยบายของระบบนิเวศในแต่ละพื้นที่ที่มีการทำการศึกษาต่อไป โดย ในปี 2561 นี้ ได้มีการจัดการเก็บข้อมูลครอบคลุมกิจการสตาร์ทอัพรวมทั้งสิ้น 215 กิจการ

ทั้งนี้จากการสำรวจลักษณะของสตาร์ทอัพในประเทศไทย พบว่า ช่วงธุรกิจที่สตาร์ทอัพอยู่มากที่สุดคือ ช่วง Seed round หรือได้รับเงินลงทุนจาก accelerator / angel investor คิดเป็นร้อยละ 45.58  รองลงมาคือ Series A หรือได้รับการลงทุนครั้งสำคัญจาก Venture capital เป็นครั้งแรก คิดเป็นร้อยละ 24.19 และ Pre-seed round  หรือได้รับเงินลงทุนจากรัฐบาล ญาติพี่น้อง และบุคคลใกล้ชิด คิดเป็นร้อยละ 16.74
สำหรับประเภทอุตสาหกรรมของสตาร์ทอัพ พบว่า อุตสาหกรรมธุรกิจและเทคโนโลยีการบริการ (Business/Services Tech) มีสตาร์ทอัพมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 23.72 รองลงมาคือ ธุรกิจ E-Commerce คิดเป็นร้อยละ 10.70 และการศึกษา (EdTech) คิดเป็นร้อยละ 7.91 ทั้ งนี้ ผู้ประกอบการมีอายุเฉลี่ยเมื่อเริ่มกิจการ 33 ปี แบ่งเป็น เพศชายร้อยละ 81.64 และเพศหญิงร้อยละ 18.36

 นอกจากนี้ในเรื่องการเข้าร่วมโครงการ และมาตรการส่งเสริมของภาครัฐ พบว่า สตาร์ทอัพ ร้อยละ 56.48 เคยเข้าร่วมโครงการหรือมาตรการส่งเสริมของภาครัฐ และร้อยละ 43.52 ระบุว่า ไม่เคยเข้าร่วมโครงการมาตรการส่งเสริมของภาครัฐ สำหรับสตาร์ทอัพที่เคยเข้าร่วมโครงการและมาตรการส่งเสริมของภาครัฐ พบว่า สตาร์ทอัพเคยเข้าร่วมโครงการ Startup Voucher ของ สวทช. มากที่สุด ร้อยละ 28.91 รองลงมา คือ โครงการคูปองนวัตกรรม ของ NIA คิดเป็นร้อยละ 23.44 และโครงการ TED Fund ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  คิดเป็นร้อยละ 11.72   
ส่วนผลการดำเนินงานของสตาร์ทอัพ ด้านรายได้ พบว่า สตาร์ทอัพที่สามารถสร้างรายได้ได้แล้วคิดเป็นร้อยละ 63.72 โดยร้อยละ 40 ของสตาร์อัพนั้นเริ่มสร้างรายได้หลังจากก่อตั้งธุรกิจ 6 เดือน โดยแหล่งรายได้ของธุรกิจสูงที่สุดคือ มาจากรายได้จากการจำหน่ายสินค้าหรือบริการ   และด้านการทำวิจัยและพัฒนาและกิจกรรมนวัตกรรมของสตาร์ทอัพ พบว่า สตาร์ทอัพมีการใช้งบประมาณ โดยเฉลี่ยไม่เกิน 500,000 บาท/ปี ในการทำวิจัยและพัฒนาและมีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยรัฐมากที่สุด
 
สำหรับเทคโนโลยีสำคัญที่ใช้ในการดำเนินการในสตาร์ทอัพ พบว่า สตาร์ทอัพใช้เทคโนโลยี Software Application (SaaS) / Web Application ในการดำเนินการมากที่สุด ร้อยละ 64.22 ซึ่งแหล่งที่มาหลักของเทคโนโลยี Software Application (SaaS) / Web Application คือ ผู้ก่อตั้งเป็นผู้ค้นพบหรือสร้างเทคโนโลยีขึ้นเอง ร้อยละ 25.08 ส่วนเทคโนโลยีสำคัญที่ใช้ในการดำเนินการในสตาร์ทอัพรองลงมาคือ Artificial Intelligence (AI) / Machine Learning ร้อยละ 9.79 และ AR / VR ร้อยละ 5.20 ซึ่งแหล่งที่มาหลักของเทคโนโลยี Artificial Intelligence (AI) / Machine Learning และ AR / VR คือ ค้นคว้าภายในกิจการ (in-house)
ด้านความต้องการให้ภาครัฐให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน พบว่า อันดับหนึ่งของสตาร์ทอัพต้องการให้ภาครัฐให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนการเพิ่มแหล่งเงินทุน การร่วมลงทุน รองลงมาคือ การแก้ไขกฎหมาย หลักเกณฑ์ ข้อบังคับ ในการประกอบธุรกิจ และการเพิ่มมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนทางภาษี  ด้านความต้องการในการรับการสนับสนุนจากภาคเอกชน พบว่า ความต้องการอันดับหนึ่งของสตาร์ทอัพในการรับการสนับสนุนจากภาคเอกชน  คือ การสร้างเครือข่าย รองลงมาคือ การให้ความช่วยเหลือ ให้ความรู้ด้านเทคโนโลยี และการอบรมสร้างความเข้าใจทางด้านธุรกิจ สำหรับเป้าหมายของการดำเนินสตาร์ทอัพ พบว่า สตาร์ทอัพร้อยละ 37.22 มีเป้าหมายการถือครองระยะยาว รองลงมาร้อยละ 29.44 คือ IPO และร้อยละ 13.89 การขายกิจการและเปลี่ยนบทบาทเป็นนักลงทุน
 ดร.พณชิต  กิตติปัญญางาม  นายกสมาคมการค้าเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่ (TTSA) เปิดเผยถึงข้อเสนอแนะการพัฒนาระบบนิเวศวิสาหกิจเริ่มต้นสำหรับภาครัฐ (Public Sectors) ว่า ภาครัฐควรวางแนวทางในการพัฒนาสตาร์ทอัพใน 4 ด้านสำคัญ คือ 1. การประชาสัมพันธ์โครงการและมาตรการสนับสนุนสตาร์ทอัพของภาครัฐอย่างทั่วถึง 2. ให้ความสำคัญกับการพัฒนาความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ผู้ก่อตั้ง (Founder) จะนำมาพิจารณาในการเลือกประเทศในการจัดตั้งสตาร์ทอัพ   3. มีการรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง (Ecosystem Facilitation) เพื่อให้สตาร์ทอัพมีความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลและบริการของภาครัฐ (Single Point of Contact) และควรมีการจัดทำแหล่งความรู้กลาง Common Pool of Knowledge ที่จำเป็นต่อการประกอบธุรกิจวิสาหกิจเริ่มต้น ที่มีอยู่กระจัดกระจายในปัจจุบันไว้ในที่เดียวกัน และ 4. การสนับสนุนและพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะสูง (Talent & Workforce Enhancement) อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่ม Developers และ Programmers ซึ่งเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของระบบนิเวศวิสาหกิจเริ่มต้น  เนื่องจากบุคลากรเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการพัฒนาธุรกิจด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี โดยปัจจุบันแม้ว่าประเทศไทยจะมีบุคลากรในกลุ่มนี้อยู่จำนวนหนึ่ง แต่ก็ยังไม่สามารถเทียบเคียงต่างประเทศได้ในแง่คุณภาพ และประสบการณ์ จึงทำให้บุคลากรเหล่านี้ยังเป็นที่ต้องการของวิสาหกิจเริ่มต้นไทย
 
“ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ถือว่าเราประสบความสำเร็จในการสร้างการรับรู้ และดึงดูดคนเข้ามาในระบบนิเวศของสตาร์ทอัพ ต่อจากนี้น่าจะถึงเวลาที่เราจะเริ่มพูดถึงคุณภาพ เช่น การกระจายความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ และกระบวนการคิด ที่ไม่ใช่แค่เพียง ไอเดีย กับ พิชชิ่ง แต่รวมถึงการทำธุรกิจ สร้างวัฒนธรรม และ ทัศนคติ ที่เหมาะกับเศรษฐกิจแห่งอนาคตด้วย” ดร.พณชิต กล่าว

ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดการสำรวจดังกล่าวได้ที่  https://www.sti.or.th/th/1483/