วว.โชว์งานวิจัยและบริการช่วยแก้วิกฤติด้านสิ่งแวดล้อม
ไอที
ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ วว. กล่าวว่า จากปัญหาสภาวะแวดล้อมของโลกกำลังส่งผลคุกคามต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในทุกพื้นที่ทั่วโลกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เข้าสู่ภาวะวิกฤติ (Climate Crisis) นักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง และสื่อที่สำคัญได้ออกมาเรียกร้องให้เปลี่ยนการใช้คำจาก “Global Warming” เป็น “Global Heating” ในประเทศไทยได้รับผลกระทบเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากการเผชิญกับวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญต่างๆ เช่น มลพิษทางอากาศจาก PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ และอีกหลายจังหวัดทั่วประเทศ เป็นเหตุจากมลพิษจากการคมนาคมขนส่ง การเผาวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร และการเปลี่ยนแปลงสภาพความกดอากาศ รวมถึงมลพิษพลาสติกที่คร่าชีวิตทั้งสัตว์บกและสัตว์น้ำ เช่น กวาง นก เต่า วาฬและโลมา ที่กินพลาสติกด้วยความเข้าใจผิด สิ่งที่ต้องตระหนัก คือ ประเทศไทยจัดอยู่ในอันดับ 5 ของประเทศที่มีส่วนร่วมก่อให้เกิดขยะพลาสติกในมหาสมุทรมากที่สุดของโลก
" ที่ผ่านมา วว. ได้ดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมวิกฤต เพื่อพัฒนาสังคม และเศรษฐกิจภายใต้กรอบของเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy-BCG) ตามเป้าหมาย SDGs โดยเฉพาะ SDG 1 (ขจัดความยากจน) ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของทุกการดำเนินงาน ด้วยโครงสร้างพื้นฐาน องค์ความรู้ และเทคโนโลยีของ วว. ที่ผ่านมา วว. ดำเนินงานวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมมาอย่างยาวนานกว่า 20 ปี เพื่อรองรับการวิกฤติสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ รวมถึงให้ความสำคัญกับงานบริการสีเขียวเพื่อภาคอุตสาหกรรม นับจากนี้ไปเราทุกคนต้องร่วมมือร่วมใจกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลด ละ เลิก สิ่งที่จะมีผลต่อการทำลายสิ่งแวดล้อม ช่วยกันลดโลกร้อน โดยเริ่มต้นจากตัวท่าน คนในครอบครัว ชุมชน สังคม ไปจนถึงระดับประเทศ เพื่อให้สร้างสังคมที่น่าอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดีของลูกหลานไทยในอนาคต”
ด้านดร.อาภารัตน์ มหาขันธ์ รองผู้ว่าการกลุ่มวิจัยและพัฒนาด้านพัฒนาอย่างยั่งยืน วว. กล่าวว่า วว.มีผลงานวิจัย ที่ช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในทุกมิติอย่างรูปธรรม ทั้งสถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช พื้นที่สงวนชีวมณฑล UNESCO จังหวัดนครราชสีมา ที่มีการวิจัยเพื่อการอนุรักษ์ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน รวมทั้งการติดตามกระบวนการถ่ายเทดูดซับคาร์บอนในพื้นที่ติดต่อกันกว่า 20 ปี
นอกจากนี้วว.ยังมีศูนย์ความเป็นเลิศด้านสาหร่าย (ALEC) ที่ดำเนินงานอย่างครบวงจรตั้งแต่การเก็บรักษาสายพันธุ์สาหร่ายทั้งน้ำจืดและน้ำทะเล เพื่อการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน กว่า 1,200 สายพันธุ์ มีการวิจัย พัฒนา การเพาะเลี้ยงสาหร่ายเพื่อเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นพลังงานชีวมวลและสารมูลค่าสูงต่างๆ รวมทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยีปุ๋ยชีวภาพ และวัสดุปรับปรุงดินจากสาหร่าย ช่วยในการปกป้อง ฟื้นฟู และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรดินซึ่งเป็นระบบนิเวศทางบกได้อย่างยั่งยืน มีศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมพลังงานสะอาดและสิ่งแวดล้อม (ศนพ.) ที่มีโรงงานต้นแบบผลิตพลังงานหมุนเวียนจากขยะและน้ำเสีย ทั้งก๊าซชีวภาพ ความร้อน และไฟฟ้า และมีศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมวัสดุ (ศนว.) ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตบล็อกประสาน ที่ไม่ต้องใช้พลังงานในการเผา สามารถลดค่าใช้จ่ายในการสร้างอาคารที่อยู่อาศัยได้ถึง 1 ใน 3 ทั้งยังมีความทนทานต่อภัยพิบัติธรรมชาติ
อย่างไรก็ดี วว.ยังมีงานบริการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเขียว (Green Service) เพื่อการบริการแก่ภาคอุตสาหกรรมอย่างครบวงจร โดย ศูนย์พัฒนาและวิเคราะห์คุณสมบัติของวัสดุ (ศพว.) ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย (ศบท.) และสำนักรับรองระบบคุณภาพ (สรร.) ที่มีความพร้อมของระบบโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการบริการวิเคราะห์ ทดสอบ และ ด้วยงานบริการวิเคราะห์ทดสอบที่รองรับมาตรฐานต่างๆ ของประเทศและระดับสากล รวมถึงมาตรฐานในการส่งออก เช่น วิเคราะห์ทดสอบการสลายตัวทางชีวภาพเพื่อยืนยันถึงสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สามารถนำผลการทดสอบไปยื่นขอสัญลักษณ์การรับรองจากสถาบัน DIN CERTCO ประเทศเยอรมนี และสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยได้ วว. ยังสามารถให้การรับรองผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (Eco Lodge) ในขอบข่ายผลิตภัณฑ์ พลาสติกสลายตัวทางชีวภาพ ตามมาตรฐาน ISO 17088 นอกจากนี้ วว. ได้พัฒนาบรรจุภัณฑ์สีเขียว หรือ Green Packaging ภายใต้แนวคิดการออกแบบ Green by Design แบบองค์รวม ซึ่งได้รับรางวัลทั้งในระดับประเทศและระดับสากล
“วว. มุ่งมั่นในการดำเนินงานเพื่อลดวิกฤตสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ โดยเฉพาะเรื่องที่เร่งด่วนและกระทบกับทุกชีวิตทั่วโลก คือ SDG 13 (ปฏิบัติการและการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) แต่ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องใหญ่และเร่งด่วนระดับโลกที่ทุกชีวิตต้องช่วยกันลงมือแก้ไขก่อนที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะเพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งจะสายเกินแก้ ปัญหาขยะนับเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศที่ต้องได้รับการแก้ไขให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยด่วนที่สุด เนื่องจากเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อทั้ง ดิน น้ำ อากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิตทั้งทางบกและทางทะเล รวมทั้งการทำให้โลกร้อน เริ่มต้นวินัยในการจัดการขยะทุกระดับตั้งแต่ บุคคล ครัวเรือน ชุมชน สังคม ประเทศ ในวันนี้ ก่อนที่ลูกหลานไทยจะออกมาประท้วง เพื่อทวงสิทธิ์ในการรับมอบทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ สิ่งแวดล้อมที่ดีกว่า และอากาศบริสุทธิ์ เพื่อการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่มีคุณภาพจากคนรุ่นก่อนอย่างเรา” ดร.อาภารัตน์ กล่าว