สวทช.พัฒนาระบบสัญญาณชีพทางไกลสำหรับผู้ป่วยในรถพยาบาล
ไอที
ทีมวิจัย A-MED นำโดย“ ดร.กิตติ วงศ์ถาวรารัตน์ ” จึงร่วมกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน (สพฉ.) พัฒนาต้นแบบ“ระบบสัญญาณชีพทางไกลสำหรับผู้ป่วยในรถพยาบาล” ขึ้นเมื่อเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา เพื่อช่วยเหลือดูแลรักษาผู้ป่วยตั้งแต่จุดเกิดเหตุไปจนถึงโรงพยาบาล เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตของคนไข้ นอกจากนี้ยังร่วมกันผลักดันมาตรฐานกลางของข้อมูล สำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์วัดสัญญาณชีพภายในรถพยาบาล ที่รองรับอุปกรณ์จากผู้ผลิตที่มีความหลากหลาย
นายวัชรากร กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่พยายามจะเชิญผู้ประกอบการด้านอุปกรณ์การแพทย์มาทำมาตรฐาน เพื่อให้เกิดการบูรณาการเชื่อมโยงกัน แพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้น จะเปรียบเสมือนพอร์ทัลกลาง อุปกรณ์ที่มาเชื่อมต่อจะเป็นยี่ห้ออะไรก็ได้ ไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ แค่เปิดบราวเซอร์ก็สามารถทำงานได้เลย และส่งผ่านข้อมูลไปแสดงผลที่ใดก็ได้
ทั้งนี้ระบบที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย Emergency Gateway ซึ่งติดตั้งที่รถพยาบาลสามารถที่เชื่อมต่อรับข้อมูลสัญญานชีพได้หลากหลายผู้ผลิต และหลากหลายรูปแบบ เช่น เครื่อง Electrocardiography (ECG) เครื่องวัดความดัน เครื่องวัดออกซิเจน เครื่องวัดอุณหภูมิ และอื่น ๆ มีระบบที่เชื่อมต่อกับระบบอ่านลายนิ้วมือของ สพฉ. ในการตรวจสอบและดึงข้อมูลตัวตนของผู้ป่วยในที่เกิดเหตุได้ แค่สแกนลายนิ้วมือผู้ป่วย ไม่ต้องสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องในกรณีหมดสติหรือค้นบัตรให้เสียเวลา สามารถดึงประวัติจากกรมการปกครองที่มีการลงนามความร่วมมือกันอยู่ รวมถึงข้อมูลการแพ้ยาต่าง ๆ เพื่อให้สามารถช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว และถูกต้อง
นอกจากนี้ยังพัฒนาระบบบริหารจัดการกลางบนคลาวด์ ซึ่งข้อมูลผู้ป่วยและสัญญานชีพทั้งหมดจากเครื่องมือต่าง ๆ จะมีการส่งผ่านอัตโนมัติไปจัดเก็บที่คลาวด์ เซิร์ฟเวอร์ เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เรียลไทม์ ซึ่งจำเป็นต้องมีระบบสื่อสารที่มีประสิทธิภาพสูง ทีมวิจัยจึงมีการพัฒนา 3G/4G Multiple Link Aggregation หรือระบบส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ 3จี 4จี แบบหลายซิมขึ้น เพราะบางพื้นที่สัญญาณมือถือไม่เสถียรในบางผู้ให้บริการ การส่งข้อมูลแบบหลายซิมพร้อมกันเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและความเสถียรของการส่งข้อมูลในขณะที่เดินทางของรถพยาบาล
นักวิจัยกล่าวว่า ต้นแบบระบบที่พัฒนาขึ้นนี้ นอกเหนือจากข้อมูลเสียง วิดีโอ รวมถึงข้อมูลสัญญาชีพของผู้ป่วย จะถูกส่งไปเก็บที่ฐานข้อมูลของศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการ หรือบนระบบคลาวด์ ซึ่งแพทย์ฉุกเฉินอำนวยการ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน สามารถเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยที่เป็นปัจจุบันหรือเรียลไทม์ได้แล้ว แพทย์ฉุกเฉินอำนวยการยังสามารถที่จะสั่งการการรักษาแก้ไขปัญหาของผู้ป่วยได้ตั้งแต่ภายในรถพยาบาล ซึ่งเป็นการลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยลง
ปัจจุบันมีการทดสอบภาคสนาม ที่ศูนย์แจ้งเหตุ และสั่งการ อบจ. อุบลราชธานี ซึ่งมีรายงานว่าเมื่อใช้ระบบดังกล่าว สามารถช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากเคยมีประมาณ 4 % เหลือเพียงประมาณ 2 % และอนาคตจะมีการนำร่องใช้งานในจังหวัดต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่นที่ สงขลา พัทลุง ลำพูน สระแก้ว และมหาสารคาม