ข่าวสวทน.เผยตัวเลขวิจัยและพัฒนาในรอบปีสำรวจ2561 - kachon.com

สวทน.เผยตัวเลขวิจัยและพัฒนาในรอบปีสำรวจ2561
ไอที

photodune-2043745-college-student-s
วันนี้(11 มีนาคม 2562) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี   เปิดเผยผลการสำรวจข้อมูลการวิจัยและพัฒนาและกิจกรรมนวัตกรรมของภาคเอกชน รอบปีสำรวจ 2561  


ดร.กิติพงค์  พร้อมวงค์  เลขาธิการ สวทน. เปิดเผยถึงตัวเลขการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาทั้งภาครัฐ และเอกชนว่า   ในรอบปีสำรวจรอบ 2561  (งบลงทุนปี 2560) การลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเพิ่มสูงถึง 155,143 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 36 จากรอบสำรวจปีก่อนหน้า โดยหากเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพี คิดเป็นร้อยละ 1 ต่อจีดีพี ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ และแตะร้อยละ 1 ของจีดีพี เร็วกว่าที่คาดหนึ่งปี 

ทั้งนี้ ตัวเลขการลงทุนดังกล่าวแบ่งเป็นการลงทุนของภาคเอกชน 123,942 ล้านบาท และการลงทุนของภาครัฐ 31,201 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนโดยประมาณร้อยละ 80 และร้อยละ 20 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาเฉพาะการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชน พบว่า มีการลงทุนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 50 ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 0.80 ต่อจีดีพี โดยเพิ่มจากรอบสำรวจปีก่อนหน้า ที่ภาคเอกชนมีการลงทุน 82,701 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.57 ต่อจีดีพี สอดคล้องกับตัวเลขจำนวนบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศ (FTE) ที่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 21.0 ต่อ ประชากร 10,000 คน 


และคาดว่าหากรัฐ และเอกชนยังมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการเกิดขึ้นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่มีเป้าหมายในการขับเคลื่อนประเทศผ่านการสร้างเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม และการเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21  จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้การลงทุนวิจัยและพัฒนาและกิจกรรมนวัตกรรมของภาคเอกชนเป็นไปตามเป้าหมายของประเทศที่วางไว้ คือ ค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาเพิ่มเป็นร้อยละ 1.5 ต่อจีดีพี และบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนา (FTE) จะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 25.0 ต่อประชากร 10,000 คน ภายในสิ้นปี 2564


สำหรับปัจจัยบวกในการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาในรอบปีสำรวจ 2561 นี้ เกิดจากการตื่นตัวในการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาที่เพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการเอง ประกอบกับรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นให้เอกชนมีการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเพิ่มมากขึ้นผ่านนโยบายต่าง ๆ  

ทั้งนี้ การลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาในอุตสาหกรรมการผลิตที่เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการวิจัยและพัฒนาสูงสุด 3 อันดับแรก คือ อุตสาหกรรมยานยนต์ ที่มีการลงทุนสูงถึง 18,855 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนด้านพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและสร้างสนามทดสอบรถยนต์  รองลงมาคือ อุตสาหกรรมอาหาร มีการลงทุน 16,203 ล้านบาท  และอันดับ 3 คือ อุตสาหกรรมปิโตรเลียม ที่มีการลงทุน 11,721 ล้านบาท      

ด้านผลสำรวจภาคบริการที่มีการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาสูงสุด คือ บริการทางการเงินและประกันภัย     มีการลงทุน สูงถึง 6,007 ล้านบาท มาจากการวิจัยและพัฒนาปรับปรุงการบริการใหม่ การพัฒนา Fintech เพื่อนำมาใช้พัฒนาการบริการด้านการเงินให้ทันสมัยและตอบสนองความต้องการ  รองลงมาคือ กลุ่มบริการด้านธุรกิจอื่น ๆ          (การบริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์และสอบเทียบมาตรฐาน) ที่ลงทุนด้วยเม็ดเงิน 4,724 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปีที่ผ่านมามาก ผ่านการจัดซื้อและพัฒนากระบวนการทดสอบเพื่อทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่เพิ่มมากขึ้น 
 
สำหรับภาคค้าปลีกค้าส่งที่ลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาสูงสุด คือ ห้าง ร้านสะดวกซื้อ และร้านของชำ โดยมีการลงทุน 10,192 ล้านบาท เนื่องจากผู้ประกอบการหันมาทำการวิจัยและพัฒนาภายในบริษัทตนเองมากขึ้นในเรื่องระบบการตรวจสอบสินค้าใหม่ ปรับปรุงกระบวนการผลิตใหม่  รองลงมา กลุ่มธุรกิจค้าส่ง ตัวแทนจำหน่าย มีการลงทุน 7,995 ล้านบาท จากการพัฒนากระบวนการผลิต ปรับปรุงห้องปฏิบัติการ จ้างบุคลากรด้านวิจัยเพิ่มขึ้น เป็นต้น 

นอกจากผลสำรวจข้อมูลการวิจัยและพัฒนาและกิจกรรมนวัตกรรมของภาคเอกชนแล้ว สวทน. ได้มีการสำรวจความต้องการบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาของกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Future S-Curve)  ซึ่งเป็นการสำรวจความต้องการบุคลากรแต่ละอุตสาหกรรม  ในอีก 5 ปีข้างหน้า (ปี 2019 - 2023) พบว่า ทั้ง 5 อุตสาหกรรมแห่งอนาคต ภาคเอกชนมีความต้องการบุคลากรที่มีทักษะขั้นสูงในอีก 5 ปีข้างหน้ารวมจำนวน 107,045 ตำแหน่ง แบ่งเป็น อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ มีความต้องการอยู่ที่ประมาณ 29,735 ตำแหน่ง โดยเฉพาะตำแหน่งนักบินและช่างซ่อมบำรุงอากาศยานในด้านอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ ที่มีปัจจัยที่ส่งผลต่อการขยายตัวทั้งจากนโยบายของภาครัฐ ภูมิศาสตร์ด้านตำแหน่งที่ตั้ง รวมถึงการเติบโตขึ้นของการซื้อขายสินค้าผ่านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมดังกล่าว  

ส่วนอุตสาหกรรมดิจิทัล มีความต้องการอยู่ที่ประมาณ 34,505 ตำแหน่ง เช่น Data Scientist, Full-Stack Developer อุตสาหกรรมหุ่นยนต์เพื่อการอุตสาหกรรม มีความต้องการอยู่ที่ประมาณ 12,816  ตำแหน่ง เช่น Data Scientist, Robotic Control Engineer, Mechanical Engineer อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร มีความต้องการอยู่ที่ประมาณ 20,153 ตำแหน่ง เช่น Scientist Chemist, Scientist Biologist และอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ มีความต้องการบุคลากรในอนาคต อยู่ที่ประมาณ 9,836 ตำแหน่ง เช่น Biologist, Mechanical Engineer ตามลำดับ 

เลขาธิการ สวทน. กล่าวว่า  ในการก้าวไปสู่เป้าหมายการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาให้ได้ถึงร้อยละ 1.5 ต่อจีดีพี การเพิ่มบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาเป็น 25.0 ต่อประชากร 10,000 คน ภายในสิ้นปี 2564 ตลอดจนการสร้างบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อป้อนภาคเอกชนให้ตรงและทันต่อความต้องการนั้น ประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง โดยในส่วนของ สวทน. เอง  จะเร่งเดินหน้าในการจัดทำมาตรการกระตุ้นการลงทุนวิจัยและนวัตกรรม และจัดทำ Skill and Brainpower Planning การวางแผนด้านกำลังคนอย่างมีประสิทธิภาพ ที่เน้นการพัฒนากำลังคนของประเทศทั้งในมิติทักษะและความรู้ควบคู่กันไป ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่ของประเทศที่ยังไม่เคยทำมาก่อน และจะช่วยตอบโจทย์ในการวางแผนทั้งด้านการลงทุน และการใช้กำลังคนของประเทศได้

นอกจากนี้ การเกิดขึ้นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จะช่วยตอบโจทย์เรื่องดังกล่าวโดยตรง ซึ่งในการทำงานของกระทรวงฯ จะมี Super Board ที่เรียกว่า “สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ” ที่จะช่วยกำหนดนโยบายในการทำวิจัยให้มีทิศทางยิ่งขึ้น และจะจัดสรรงบประมาณ (Budget Allocation) ให้สอดรับกับนโยบาย ผ่านกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 

อย่างไรก็ตาม ภาครัฐถือเป็นตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนตัวเลขการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาไปสู่เป้าหมาย การเข้ามาบริหารประเทศของรัฐบาลชุดต่อไป จึงต้องการเห็นการขับเคลื่อนนโยบายด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ที่มีการเร่งเดินหน้าการใช้ วทน. เข้ามาเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเร่งอัตราการเติบโตของการลงทุนวิจัยและพัฒนาให้ถึง 2% ของ GDP ภายใน 7 ปีข้างหน้า หรือราว 340,000 ล้านบาทต่อปี โดยภาครัฐควรมีสัดส่วนการลงทุน 30% หรือประมาณ 100,000 ล้านบาท ภาคเอกชน 70% หรือ 240,000 ล้านบาท