'เก็ท'เปิดตัวอย่างเป็นทางการยืนยันใช้วินถูกก.ม.
ไอที

“การเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันนี้ เก็ทจะให้บริการ 3 รูปแบบ คือ เก็ทวินมอเตอร์ไซค์ เก็ทฟู้ดส่งอาหาร และสุดท้ายคือ เก็ทเดลิเวอร์รี่ บริการรับส่งพัสดุ โดยครอบคลุม 80% ในเขตกรุงเทพฯ และคาดว่าจะสามารถให้บริการทั่วพื้นที่ กทม. ในไตรมาส 1 ของปีนี้”
นายภิญญา กล่าวต่อว่า เก็ท ได้รับการสนับสนุนในเรื่อง เงินลงทุน เทคโนโลยี และแพลตฟอร์มจากโกเจ็ก ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์น จากอินโดนีเซีย แต่ทีมงานเก็ทเป็นคนไทยทั้งหมด โดยมีอำนาจบริหารตัดสินใจอย่างเต็มที่ และเป็นผู้วางแผนคิดและพัฒนาบริการให้เข้ากับประเทศไทย

อย่างไรก็ตามในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาทางเก็ทได้มีการพูดคุยกับทางภาครัฐ เอกชน และพาร์ทเนอร์อย่างเนื่อง โดยเน้นการให้ข้อมูลว่าจะช่วยยกระดับผู้ขับวินมอเตอร์ไซค์ ร้านอาหารและธุรกิจเอสเอ็มอีได้อย่างไรบ้าง โดยในส่วนของบริการมอเตอร์ไซต์วินนั้นจะเปิดรับเฉพาะวินที่ถูกกฎหมายได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องและขึ้นทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก ใช้รถป้ายทะเบียนเหลือง ขณะที่บริการส่งอาหารและพัสดุจะใช้มอเตอร์ไซค์ป้ายขาว ซึ่งจะมีการแบ่งการรับงานอย่างชัดเจน โดยปัจจุบันมีวินที่ร่วมลงทะเบียนเป็นสมาชิกแล้ว 10,000 ราย จากวินมอเตอร์ไซค์ในกรุงเทพที่ขึ้นทะเบียนในกรุงเทพทั้งหมด 8 หมื่นราย ในส่วนร้านอาหารมีในระบบมากกว่า 2 หมื่นร้านใน กทม.
ทั้งนี้ทางเก็ท ได้ตั้งเป้าหมายว่า หลังเปิดให้บริการในไทยอย่างเป็นทางการแล้วจะมีอิมแพ็คช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้คนไทยได้ไม่น้อยกว่า 1 ล้านคนภายในสิ้นปีนี้ และในเร็วๆนี้ จะเปิดบริการ เก็ท เพย์ บริการทางด้านชำระเงินด้วย

ด้าน นายนาดีม มาคาริม ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ โกเจ็ก กล่าวว่า การเข้ามาร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับ เก็ท เนื่องจากมองว่าประเทศไทย มีคนใช้มอเตอร์ไซค์วินจำนวนมาก เช่นเดียวกับประเทศอินโดนีเซีย รวมถึงมีอาหารอร่อย จึงคิดว่าด้วยเทคโนโลยีจะสามารถช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและธุรกิจเอสเอ็มอีในประเทศไทยได้
“ปัจจุบัน โกเจ็ท ได้นำแพลตฟอร์มไปใช้ในเวียดนามโดยเป็นบริการมอเตอร์ไซค์ สิงคโปร์เป็นบริการเรียกรถโดยสาร และ ฟิลิปปินส์ เป็นระบบชำระเงิน ส่วนการขยายบริการไปยังพม่าและกัมพูชา หรือไม่นั้นตอนนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ สำหรับ การสนับสนุนเงินลงทุนในไทยไม่สามารถบอกมูลค่าได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม สำหรับตลาดบริการ่วมเดินทางในไทยยังสามารถเติบโตได้อีกมาก แม้จะมีผู้ให้บริการหลายราย แต่ตลาดยังเติบโตเป็นเลขหลักเดียว ซึ่งในอนาคตเมื่อตลาดเติบโตมากขึ้นจะเป็นผลดีกับผู้ให้บริการทุกราย จึงมองว่าไม่ได้เป็นคู่แข่งกัน แต่มีจุดหมายยกระดับคุณภาพชีวิตและการเดินทางของคนในท้องถิ่นนั้นเหมือนกัน” นายนาดีม กล่าว