ไอดีซีเผยแนวโน้มอุตสาหกรรมไอซีทีใน 3-5ปีข้างหน้า
ไอที

"ไอดีซี ประเทศไทย" จึงมีการคาดการณ์แนวโน้มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้แบบเจาะลึก หรือที่เรียกว่า "IDC FutureScapes" เพื่อให้ผู้บริหารสามารถกำหนดกลยุทธ์ด้านไอทีและการวางแผนสำหรับองค์กรต่าง ๆ ได้

โดยปี 2562 นี้ “ ประภัสสร เพชรแก้ว” นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโส ไอดีซี ประเทศไทย บอกถึงภาพรวมของการใช้จ่ายด้านไอทีในประเทศไทยในปี 2561 ที่ผ่านมาว่า มีประมาณ 424,000 ล้านบาท ส่วนปี 2562 นี้ คาดว่าจะเติบโตเป็น 452,000 ล้านบาท และจะสูงถึง 540,000 ล้านบาทในปี 2565

ซึ่งการเติบโตมาจากปัจจัยหลักเรื่องทรานส์ฟอร์มเมชั่นและการใช้เทคโนโลยีแพลตฟอร์มที่ 3 เช่น คลาวด์ โมบิลิตี้ บิ้กดาต้าและโซเชียล โดยมีสมาร์ทโฟนเป็นตัวขับเคลื่อนหลักเกือบ 70 % ของค่าใช้จ่ายไอทีด้านอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ซึ่งในปี 2561 การใช้จ่ายด้านสมาร์ทโฟนมีสูงถึง 184,000 ล้านบาท ส่วนปี 2562คาดว่าจะมีประมาณ 203,000 ล้านบาท
...สำหรับ 10 แนวโน้มด้านไอซีที ที่ไอดีซีคาดว่าจะเห็นในประเทศไทยใน 3-5 ปีข้างหน้านั้น ..
อย่างแรกคือ " Digitalized Economy" หรือเศรษฐกิจดิจิทัล ภายในปี 2565 กว่า 61 % ของจีดีพีในประเทศไทยจะมาจากเศรษฐกิจดิจิทัล และเติบโตในทุกอุตสาหกรรม ซึ่งจะถูกขับเคลื่อนโดยการนำเสนอ การดำเนินงานและความสัมพันธ์ต่างๆ และจะทำให้การใช้จ่ายด้านไอทีตั้งแต่ปี 2562 ถึง 2565 เติบโตถึง 72,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ

สองคือ "Digital-native IT" ภายในปี 2565 การใช้จ่ายด้านไอทีของไทยประมาณ 60 % จะเกิดจากการใช้เทคโนโลยีแพลตฟอร์มที่ 3 เช่น คลาวด์ โมบิลิตี้ บิ้กดาต้าและโซเชียล และเชื่อว่า 30% ขององค์กรจะสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นดิจิทัลมากขึ้น
สาม " Expand to the Edge" ภายในปี 2565 กว่า 20 % ของการใช้ระบบคลาวด์ขององค์กรในประเทศไทยจะเป็นการประมวลผลแบบผสม ซึ่งรวมการใช้เทคโนโลยี Edge computing เข้าไปด้วย เพื่อความความรวดเร็วในการประมวลผลข้อมูล และคาดว่า 25 % ของอุปกรณ์และระบบปลายทางจะใช้อัลกอริธึม AI
ส่วนสี่ คือ “ AppDev Revolution” ภายในปี 2565 แอพพลิเคชั่นใหม่ ๆ ของประเทศไทยกว่า 70% จะใช้เทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่าสถาปัตยกรรมไมโครเซอร์วิส ที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการออกแบบ แก้จุดบกพร่อง อัพเดทและใช้ประโยชน์จากโค้ดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้นักพัฒนาสามารถพัฒนาแอพใหม่ ๆ ได้รวดเร็วขึ้น และคาดว่าใน 3 ปีข้างหน้า 25% ของการพัฒนาแอพพลิเคชั่นไทยจะเป็นระบบคลาวด์
ห้า “ New Developer Class” ภายในปี 2567 ด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น นักพัฒนาซอฟต์แวร์จะมีเครื่องมือที่ช่วยในการพัฒนาแอพพลิเคชั่นได้อย่างรวดเร็วและง่ายขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ด ทำให้ประเทศไทยสามารถเพิ่มนักพัฒนาซอฟต์แวร์รุ่นใหม่มากขึ้นถึง 20 % และเป็นตัวช่วยผลักดันให้เกิดดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชั่น
หก “ Digital Innovation Explosion” ด้วยเครื่องมือใหม่ ๆ และแพลตฟอร์มใหม่ ๆ ที่ทำให้การเขียนแอพง่าย และสะดวกขึ้น บวกกับจำนวนผู้พัฒนาที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ประเทศไทยจากปี 2561 ถึงปี 2566 สามารถสร้างแอพลิเคชั่นใหม่ ๆ ได้ กว่า 4 ล้านแอพ
เจ็ด “ Growth Through Specialization” ภายในปี 2565 ไอดีซีคาดว่า 15% ของการประมวลผลแบบคลาวด์สาธารณะ จะใช้โปรเซสเซอร์แบบใหม่ที่ไม่ใช่ x86 รวมถึงมีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงอย่างควอนตัมในประเทศไทย และภายในปี 2565 องค์กรต่างๆจะใช้จ่ายกับแอพพลิเคชั่นในรูปแบบการให้บริการผ่านคลาวด์มากกว่าแอพพลิเคชั่นแบบที่ใช้ทั่วไป
แปด “AI is the New UI” ด้วยความใช้งานที่ง่ายขึ้นของเทคโนโลยี AI และระบบอัตโนมัติต่าง ๆ ทำให้ ไอดีซีคาดว่าภายในปี 2567 เทคโนโลยี AI จะเป็นส่วนติดต่อผู้ใช้หรือยูสเซอร์อินเทอร์เฟซ( UI ) ใหม่ ซึ่งจะแทนที่หนึ่งในสามของแอพพลิเคชั่นที่ใช้หน้าจอในปัจจุบันของประเทศไทย และภายในปี 2565 ผู้ประกอบการ 20 % จะใช้เทคโนโลยีด้านพูดสนทนาอย่างเช่นแชทบอท เพื่อการมีส่วนร่วมของลูกค้า
เก้า คือ “ Expanding/Scaling Trust” ภายในปี 2566 วงการซีเคียวริตี้จะมีการใช้ประโยชน์จากระบบอัตโนมัติมากขึ้น ซึ่งจะมี 25% ของเซิร์ฟเวอร์ที่จะทำการเข้ารหัสข้อมูลที่เหลือและการเคลื่อนไหวต่างๆในประเทศไทย โดยมากกว่า 20 % ของวิธีการแจ้งเตือนเรื่องความปลอดภัยจะถูกจัดการด้วย AI และ 3.5 ล้านคนจะมีอัตลักษณ์ทางดิจิทัลโดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน
และสิบ “ Consolidation vs Multicloud” ภายในปี พ. ศ. 2565 กลุ่มผู้ให้บริการคลาว์ “ที่รองรับระบบปฏิบัติการขนาดใหญ่” สี่อันดับแรกจะใช้พื้นที่ 80 % ของการติดตั้ง IaaS / PaaS ในประเทศไทย แต่ภายในปี 2566 องค์กร 70 % ในประเทศไทยที่ติดอันดับ ท้อป100 จะช่วยลดการล็อคอินผ่านเทคโนโลยีระบบคลาวด์ที่หลากหลายและเครื่องมือที่สามารถขับเคลื่อนได้มากกว่าหนึ่งอย่างขึ้นไป.