'เอปสัน'ชู 4 กลุ่มผลิตภัฑณ์สร้างการเติบโตในอนาคต
ไอที
วันนี้(14 ก.พ.) บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด แถลงข่าวผลการดำเนินงานในปี 61 โดย มร.โตชิมิตสุ ทานากะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอปสัน สิงคโปร์ จำกัด กล่าวว่า ธุรกิจของเอปสันในไทยสามารถทำรายได้มีเป็นสัดส่วนประมาณ 25% ของเอปสันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยตลาดในไทยใหญ่และสำคัญเป็นอันดับ 2 ของภูมิภาค โดยอันดับหนึ่ง คือ อินโดนีเซีย ส่วนอันดับ 3 คือประเทศมาเลเซีย
นายยรรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการ บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดไอทีของประเทศไทยในปีที่ผ่านมาถือว่ายังติดลบ 3 % เนื่องจากมีปัจจัยลบ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศยังไม่ดีเท่าที่ควร ขณะที่ปัจจัยภายนอกยังมีความไม่แน่นนอนของเศรษฐกิจโลก ปัญหาระหว่างจีนกับสหรัฐฯ รวมถึงเศรษฐกิจจีนที่เติบโตลดลง
อย่างไรก็ตามทางเอปสันยังคงสามารถรักษาอัตราการเติบโตทางธุรกิจไว้ได้ 5% โดยคาดการณ์ว่าเมื่อสิ้นปีงบประมาณของบริษัทฯ (31 มี.ค.62) ผลิตภัณฑ์โปรเจคเตอร์จะเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนกว่า 10% ซึ่งมีโปรเจคเตอร์ความสว่างสูงเป็นกลุ่มที่เติบโตมากที่สุด ขณะที่พรินเตอร์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมจะเติบโตขึ้น 6% โดยที่ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโฟโต้ มินิแล็บ และอุตสาหกรรมสิ่งทอต่างยังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ส่วนกลุ่มอิงค์เจ็ทพรินเตอร์จะขยายตัวขึ้น 5% โดยมาจากพรินเตอร์แท็งค์แท้ หรือ EcoTank เป็นหลัก โดยปัจจัยสนับสนุนการเติบโตในไทยมาจาก ผลิตภัณฑ์มีนวัตกรรม เทคโนโลยีและ ความคุ้มค่า รวมถึงการออก ผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อเนื่อง”
นายยรรยง กล่าวต่อว่า ส่วนตลาดต่างประเทศที่บริษัทฯ ดูแลอยู่ ได้แก่ เมียนมาร์ กัมพูชา ลาว และปากีสถาน มีอัตราการเติบโตโดยรวม 6% คิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 11% โดยมีปัจจัยจากการที่บริษัทฯ ได้ป้อนผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง รวมถึง การ ตลาดเชิงรุกมากและเข้าไปทำตลาดกับกลุ่มลูกค้าในธุรกิจบันเทิงและสถาบันศึกษาที่กำลังขยายตัวอย่างมาก โดยชูจุดเด่นด้านความ ทนทานและคุณภาพที่ดีกว่าคู่แข่ง
สำหรับในปี 62 เอปสัน จะเน้นการทำตลาดใหม่ เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจด้วยการสร้าง เอสเคิร์ฟ(S-Curve) ใหม่ เพื่อให้เติบโตอย่างต่อเนื่องไปอีกไม่น้อยกว่า 5 ปี โดย จะเน้นใน 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ อิงค์เจ็ทพรินเตอร์ ความเร็วสูง ,พรินเตอร์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม ,เลเซอร์โปรเจคเตอร์ความสว่างสูง และหุ่นยนต์แขนกล ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง มีแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว และเริ่มเป็นที่ต้องการอย่างมากในกลุ่มลูกค้า องค์กรธุรกิจและอุตสาหกรรม
“ในช่วงแรกของการสร้าง S-Curve ใหม่ บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าเติบโตไว้ที่ 5% สำหรับประเทศไทย และ 10% สำหรับตลาดต่างประเทศที่ดูแลแม้เศณษฐกิจจะยังมีความผันผวน แต่ก็มีปัจจัยบวก จากนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่จะผลักดันให้มีการใช้เทคโนโลยีนำไปสู่ การปฏิบัติงานสู่ระบบดิจิทัล รวมไปถึงเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ เริ่มฟื้นตัวมากขึ้น โดยได้ มีการกำหนดกลยุทธ์เพื่อผลักดัน S-Curve ใหม่นี้ไว้ 4 ด้าน ครอบคลุมด้านผลิตภัณฑ์ การบริการ ช่องทางจัดจำหน่าย และการสื่อสารการตลาด”
สำหรับกลยุทธ์ทางด้านผลิตภัณฑ์ เอปสัน ประเทศไทยมีแผนที่จะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ใน 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์เข้ามาทำ ตลาดมากขึ้น รวมถึงการเร่งทำตลาดหุนยนต์แขนกล ที่คาดว่าจะเติบโตไม่น้อยกว่า 50% ด้วยการเปิดตัวหุ่นยนต์รุ่นใหม่ที่มีราคาถูกลงประมาณ 35% รวมทั้งจะมีการเปิดตัวหุ่นยนต์รุ่นใหม่ที่สามารถยกวัตถุหรือชิ้นงานที่มีน้ำหนักมากขึ้นได้
ด้านกลยุทธ์ในการบริการ ตั้งเป้าหมายให้บริการซ่อมสินค้าแล้วเสร็จ ภายใน 1-3 วัน นอกจากนี้ ยังมีแผนจะลงทุนขยาย ศูนย์บริการเพิ่มขึ้นจาก 154 แห่ง เป็น 170 แห่งทั่วประเทศ โดยเฉพาะในหัวเมืองรองส่วนช่องทางจำหน่ายสินค้า จะทำการเพิ่มจำนวน Epson Authorized Partner (EAP) สำหรับผลิตภัณฑ์กลุ่มอิงค์เจ็ทพรินเตอร์และโปรเจคเตอร์เป็น 170 รายทั่วประเทศ กลุ่มพรินเตอร์เชิงพาณิชย์และ อุตสาหกรรมเป็น 13 ราย และกลุ่มหุ่นยนต์แขนกลเป็น 10 ราย ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น และเจาะเข้าตลาดใหม่ๆ ได้ เชื่อมั่นว่าจากกลยุทธ์ทั้งหมดจะทำให้เอปสันเติบโตได้ตามเป้าหมายในปี 62 นี้