เปิดฉาก'ไทยแลนด์ โมบาย เอ็กซ์โป 2019' งานมือถือครั้งแรกของปี
ไอที
วันนี้(7 ก.พ.) ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา บริษัท เอ็ม วิชั่น จำกัด(มหาชน) ได้จัดงาน ไทยแลนด์ โมบาย เอ็กซ์โป 2019 มหกรรมโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยได้ร่วมมือกับพันธมิตรโทรศัพท์มือถือกว่า 40 แบรนด์ และผู้ให้บริการมือถือรายใหญ่ทั้ง 3 รายจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-10 ก.พ. 62 โดยบรรยากาศเปิดงานเป็นไปอย่างคึกคัก มีประชาชนเข้ามาเดินชมงานจำนวนมาก
นายโอภาส เฉิดพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็ม วิชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องสถานที่ที่มีพื้นที่ใหญ่ขึ้น และยังเดินทางได้ง่ายด้วยรถไฟฟ้า โดยการจัดงานครั้งนี้ภายใต้คอนเซ็บต์ Mobile Related Expo ซึ่งอุปกรณ์ทุกอย่างจะสามารถเชื่อมต่อเข้ากับโทรศัพท์มือถือได้หมด นอกจากนี้ยังมีการนำรถพลังงานไฟฟ้ามาจัดแสดงภายในงานด้วย รวมถึงมียังมีสตูดิโอ 7 ผู้แทนจำหน่ายแอปเปิ้ลมาออกบูทจัดงานครั้งแรกด้วย
“การจัดงานครั้งนี้ถือเป็นงานครั้งแรกของปีซึ่งภาพรวมแล้วเป็นช่วงที่ตลาดโทรศัพท์มือถือยังไม่มีค่อยมีทคโนโลยีอะไรมั้ยที่ดึงดูดใจให้ผู้บริโภคเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือใหม่ จึงคาดว่าตลาดมือถือในข่วงนี้ยังคงทรงตัว คงต้องรอในช่วงกลางปีที่จะมีเทรโนโลยีใหม่เข้ามา เช่นโทรศัพ์มือถือจอพับได้ ซึ่งจะช่วยดึงดูดให้ผู้บริโภคเปลี่ยนมือถือใหม่ได้ อย่างไรก็ตามการจัดงานในครั้งนี้ ยังเชื่อว่าจะมีเงินสะพัดประมาณ 2,000 ล้านบาท และมีผู้เข้าชมงานประมาณ 7 แสนคน ซึ่งเป็นตัวเลขเท่ากับการครั้งงานในครั้งที่ผ่านมา”
ด้าน นางอเล็กซานดรา ไรช์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และรักษาการรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า ดีแทคได้ขยายธุรกิจสู่ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (Electric Vehicle Connectivity Platform) หรือ EV ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ช่วยลดมลพิษ ฝุ่นควันบนท้องถนน โดยได้ประกาศร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำหลายแบรนด์ของโลก และกลุ่มพันธมิตรสำคัญคือ บริษัท เอ็มวิชั่น จำกัด(มหาชน) เป็นผู้จัดงาน EV Expo และเป็นตัวกลางประสานงานกับผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า และบริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ FSMART เจ้าของตู้บุญเติม เป็นจุดให้บริการชาร์จมอเตอร์ไซด์ EV เพื่อเสนอทางเลือกใหม่ในการใช้ชีวิตของคนเมืองที่สนุกกับสมรรถนะในการขับขี่ พร้อมกับประหยัดค่าใช้จ่าย และรักษาสิ่งแวดล้อม
“ประเทศไทยมีตลาดมอเตอร์ไซต์ที่ใหญ่ประมาณ 2 ล้านคันต่อปี แต่ขณะที่รถมอเตอร์ไซต์ไฟฟ้ากลับยังไม่ได้รับความนิยม ผิดกับประเทศต่างๆเช่น จีน และเวียดนามที่มีตลาดใหญ่ ขณะที่บางประเทศในยุโรป เช่น สวีเดน ประกาศไม่ให้รถมอเตอร์ไซค์ที่ใช้น้ำมันวิ่งบนถนนแล้วภายในปี 2030 ประเทศไทยจึงต้องเริ่มตื่นตัวไม่เช่นนั้นจะล้าหลังตามประเทศอื่นไม่ทัน”
นางอเล็กซานดรา กล่าวต่อว่า การเปลี่ยนพฤติกรรมมาใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า EV ที่นอกเหนือจากจะช่วยบรรเทาปัญหามลพิษทางการอากาศอย่างยั่งยืน แล้วยังสามารถช่วยพลิกโฉมอุตสาหกรรมยานยนต์และกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงเพื่อสิ่งแวดล้อมของไทยได้ สอดคล้องตามแผนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลที่ส่งเสริมการใช้ EV นโยบายทางภาษี ในการผลิต EV ในประเทศไทย”
“ดีแทคกำลังพัฒนา แพลตฟอร์ม EV Connectivity เพื่อเชื่อมโยงผู้ผลิตรถไฟฟ้า EV บริษัทประกัน บริษัทเช่าซื้อและสถาบันการเงินและสินเชื่อ บริการเปลี่ยนถ่ายแบตเตอรี่หลายจุดทั่วกรุงเทพฯ บริการการรับชำระเงินผ่านระบบบิลลิ่งของดีแทคและพันธมิตร รวมถึงบริการซ่อมบำรุงหลังการขาย ทั้งหมดนี้เพื่อมอบความสะดวกสบายในการใช้งานของลูกค้า ด้วยการใช้งานผ่านแอพพลิเคชั่นเดียว โดยคาดว่าจะเปิดตัวแพลตฟอร์มได้ประมาณ พ.ค.-มิ.ย.”
แพลตฟอร์มนี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานเชื่อมต่อด้วยซิมดีแทค ไตรเน็ต ผ่านแอพพลิเคชัน เพื่อดูสถานะ การใช้งานต่างๆ รวมถึงการจองเข้าใช้บริการหลังการขาย ฯลฯ ขณะที่ตู้ชาร์ทแบตเตอรี่ในช่วงแรกจะมีวางไว้ 10 แห่งในช่วงแรก บริเวณ บางกะปิด รามคำแหง และต่อไปวางเป้าหมายให้มีจุดชาร์ตในทุก 5 ตารางกิโลเมตร นอกจากนี้ในอนาคตจะมีการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์อื่นๆ เพื่อพัฒนาระบบนิเวศน์ รถ EV ของไทยให้พัฒนาขึ้น
“การให้บริการแพลตฟอร์ม EV connectivity ในครั้งนี้ นับเป็นก้าวแรก ในการขยายธุรกิจ ที่เป็นมากกว่าผู้ให้บริการมือถือ ของดีแทค เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายในการกลับมาเติบโตในธุรกิจอีกครั้ง โดยจะเริ่มทำตลาดเต็มรูปแบบในเดือนมิถุนายน จะมีรุ่นที่เข้าร่วมเบื้องต้น 3-5 รุ่น ” นางอเล็กซานดรา กล่าว
นายโอภาส เฉิดพันธุ์ กล่าวต่อว่า บริษัทเห็นถึงโอกาสในตลาด EV ของไทย โดยเราเป็นผู้จัดงาน Bangkok EV Expo ซึ่งเป็นงานโชว์-จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า และการความร่วมมือกับดีแทคและบุญเติมครั้งนี้ยังจะช่วยส่งเสริมให้ตลาด EV ในประเทศไทยมีการเติบโตมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังสนับสนุนบริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นสองทาง ได้แก่ ทางด้านการจัดการ และการร่วมมือกับพันธมิตรจำหน่ายยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า อีกทั้งการร่วมมือดังกล่าวยังจะช่วยลดปัญหาฝุ่นขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 ที่กระทบต่อสุขภาพของประชาชน ในอนาคตอีกด้วย.