ข่าววช. แนะคนกรุงช่วยรัฐแก้ PM 2.5 ด้วยบิ๊กคลีนนิ่งบ้านเรือน - kachon.com

วช. แนะคนกรุงช่วยรัฐแก้ PM 2.5 ด้วยบิ๊กคลีนนิ่งบ้านเรือน
ไอที

photodune-2043745-college-student-s
วันนี้ (16 ม.ค.62)  ที่ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ(วช.) แถลงข่าวเรื่อง "การรับมือเชิงรุกกับสถานการณ์ฝุ่น PM2.5...ท่วมกรุงเทพมหานครและปริมณฑล"  โดยมีพลเอกนิพัทธ์  ทองเล็ก ประธานคณะอนุกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมชุมชนเมือง  สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นายสมปรารถนา สุขทวี ผู้อำนวยการกอบนโยบายและแผนวิจัย วช.   ดร.ขวัญฤดี   โชติชนาทวีวงศ์  ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อม วช. และนายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์  หัวหน้าไอซียู โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ร่วมแสดงความคิดเห็น


ดร.ขวัญฤดี    กล่าวสรุปถึงข้อเสนอแนะมาตรการเชิงรุกในการรับมือกับสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ว่า  สนับสนุนมาตรการของรัฐบาลที่ออกมาก่อนหน้านี้ เนื่องจากเห็นว่าเดินมาถูกทางแล้ว  ส่วนเรื่องของสุขภาพ  หน้ากาก N 95   จะเหมาะกับผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น คนป่วย คนสูงอายุ และเด็ก  ส่วนคนสุขภาพดีปกติ สามารถใช้หน้ากากทั่วไปที่มีอยู่ได้ และเลี่ยงการเข้าไปในพื้นที่ที่มีปริมาณ PM 2.5  สูง

ทั้งนี้ในช่วง 4 วันหลังจากนี้ จะเป็นช่วงที่กรุงเทพฯ มีลมพัดผ่านมากขึ้น  ประชาชนควรที่จะช่วยกันทำบิ๊ก คลีนนิ่งบ้านเรือน อาคาร ล้างต้นไม้ใบไม้  ซึ่งจะช่วยให้มีพื้นที่ในการจับฝุ่นมากขึ้น  เมื่อเสริมกับการดำเนินงานของภาครัฐจะทำให้ปัญหาคลี่คลายไปได้เร็วขึ้น    ส่วนในระยะยาวผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องควรจะหันมามองเรื่องพื้นที่สีเขียวในกรุงเทพมหานคร  ซึ่งปัจจุบันมีเฉลี่ยประมาณ 3 ตารางเมตรต่อคน  น้อยกว่ามาตรฐานที่องค์กรอนามัยโลกกำหนดคือ 9 ตารางเมตรต่อคน    และควรต้องพิจารณาเลือกปลูกพันธุ์ไม้ที่ช่วยกรองอากาศ ได้ เช่น ต้นจั๋ง วาสนา  ลิ้นมังกร ปาล์ม และเศรษฐีเรือนใน  รวมถึงต้องมีการดูแล ตัดแต่งที่เหมาะสมด้วย  

ดร.ขวัญฤดี     กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีเรื่องของผังเมือง ที่กรุงเทพมีอาคารสูงบล็อกกันเองทำให้อากาศไม่ถ่ายเท  จุดนี้ควรจะเอาเรื่องงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เรื่องสัดส่วนอาคารกับถนนที่เหมาะสมมาพิจารณาในระยะยาว  รวมถึงมีแนวคิดในการเสนอให้อาคารสูงมีการติดตั้งถุงกรองสำหรับช่วยดักฝุ่นละอองภายนอก ซึ่งจะช่วยได้อย่างมาก



สำหรับงานวิจัยของ วช.ปัจจุบัน ได้มีการสนับสนุนให้ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่พัฒนาเครื่องมือ ตรวจวัดฝุ่นขนาดเล็ก PM2.5  เรียกว่า “DustBoy”  ซึ่งปัจจุบันมีการทดสอบติดตั้งทั่วประเทศ 38 สถานี และอยู่ในกรุงเทพ 3 จุด ซึ่งให้ค่าผลการวัดได้ใกล้เคียงกับเครื่องตรวจวัดของกรมควบคุมมลพิษ

อย่างไรก็ดีในวันดังกล่าว  วช. ได้ร่วมกับ คณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)จัดเสวนา เรื่อง “ธูป...ทำบุญ...ผลต่อสุขภาพ...มะเร็ง???” ขึ้น   ซึ่งเบื้องต้นจากงานวิจัย “สารก่อมะเร็ง : ภัยเงียบที่มากับควันธูป” ของนายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์  โรงพยาลวิชัยยุทธ และ ดร. พนิดา นวสัมฤทธิ์ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ พบว่า ควันธูปมีสารก่อมะเร็ง 3 ชนิด ได้แก่ เบนซีน บิวทาไดอีน และ เบนโซเอไพรีน เพราะธูปเป็นเครื่องหอมที่ทำจากขี้เลื่อย กาว น้ำมันหอมสกัดจากพืช ไม้หอม ใบไม้ เปลือกไม้ รากไม้ เมล็ดพืช เรซิน และสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมน้ำหอมก็จะพอกอยู่บนก้านไม้  ธูปมีหลายรูปหลายขนาดตั้งแต่เล็กถึงใหญ่มาก ๆ เผาไหม้หมดในเวลา 20 นาที - 3 วัน 3 คืน ซึ่งในประเทศไทย ในการบูชาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ บางคนต้องจุดธูปถึง 9 ดอก

ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่ามีคนจุดธูปทั่วโลกปีหนึ่ง ๆ เป็นหมื่นถึงแสนตัน และทุก ๆ 1 ตัน ของธูปจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 325.1 กิโลกรัม และก๊าซมีเทน 7.2 กิโลกรัม หากปีหนึ่งทั้งโลก มีคนจุดธูปเป็นหมื่นถึงแสนตัน จะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และมีเทนออกมาเป็นจำนวนมหาศาล

พลเอกนิพัทธ์ ทองเล็ก  ประธานคณะอนุกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมชุมชนเมือง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ    กล่าวว่า วช.กับสนช. ได้ร่วมกันศึกษาเรื่องควันธูปมาระยะหนึ่งแล้ว โดยตั้งสมมุติฐานว่าควันธูปที่คนไทยคุ้นชินนั้นส่งผลต่อสุขภาพหรือไม่ อย่างไร   ซึ่งได้ข้อมูลขั้นต้นมาแล้วจึงเปิดเวทีให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในส่วนต่าง ๆ ได้นำเสนอความคิดเห็น  ซึ่งข้อมูลที่ได้เพิ่มเติมจะมีการทำรายงานเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติและรัฐบาลต่อไป  เพื่อเสนอแนะแนวทางที่จะไม่ทำให้ผู้ประกอบการที่ทำธูปขายเดือดร้อน  ขณะเดียวกันก็สามารถช่วยลดอันตรายที่จะเกิดจากควันธูปได้เช่น การรณรงค์ใช้ธูปโดยไม่ต้องจุด หรือการทำธูปที่มีเนื้อธูปน้อยลงมีระยะเวลาในการเผาไหม้สั้นๆ  การใช้วิธีการอื่น ๆ แทนการใช้ธูป เช่น การใช้ไฟฟ้า รวมถึงการเสนอให้มีมาตรการควบคุมและลดการใช้สารอันตรายในการผลิตธูป